จำนวนผู้เข้าชม

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน

   หลาย ๆครั้ง เพื่อนๆ ถามผมมาก หุ้นกับทอง อะไรดีกว่ากัน ด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้แต่ตอบยากครับ ถ้าผมจะไล่ทฤษฏีการเงิน มันก็คงจะน่าเบื่อ ผมจะขอเล่าให้มัน simple ที่สุด และละเอียดที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกๆ คนครับ

    ผมขอเริ่มจาก commodity ยอด hit ก่อนเลยแล้วกันสิ่งนั้นคือ"ทองคำ"  ทอง เป็นสินทรัพย์ไว้กันสำรองของทุกประเทศ นั่นหมายความว่าทุกประเทศจะผลิตพันธบัตรได้ต้องนำทองมาเป็นสำรองก่อนพิมพ์พันธบัตร แต่มีประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องทำแบบนั้น นั่นก็คืออเมริกา

    อเมริกาไม่ต้องนำทองมากันสำรองเวลาพิมพ์พันธ์บัตรเพิ่ม  ดังนั้นอเมริกาสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด ยิ่งพิมพ์มากมูลค่าเงินของอเมริกา (US dollar ) ก็ลดมูลค่าลง ในเมื่อเป็นดังนี้ในปี 2008 ที่อเมริกาได้เกิด Subprime Mortgage Crisis และยักษ์ใหญ่อย่าง เลห์แมนบราเธอร์ได้ล้มลง และตามด้วยอีกหลายบริษัท ทำให้รัฐบาลต้องพิมพ์พันธบัตรเพื่ออัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าเงินอเมริกา อ่อนค่าลงอย่างมาก ผลกระทบเห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งจาก 35 baht/US dollar ปัจจุบัน 30 bath/US dollar ทำให้คนที่ใช้ dollar ต้องหาทางเพิ่ง commodity ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าทอง จะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ทองขึ้นเยอะมาก ที่ผมชี้ประเด็นนี้ผมจะบอกว่าจริง ๆ แล้วทอง เป็นสิ่งที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ฝรั่งเค้าจึงเรียกทองว่า safe heaven แต่ผมไม่ได้บอกว่าทองจะให้ผลตอบแทนมากที่สุดนะครับ

   ผมจะกลับไปตอบคำถามตอนต้นนะครับ "ว่าหุ้นกับทองอะไรน่าลงทุนกว่า" ผมขอตอบในมุมมองผมแล้วกัน ทองเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดเงินเฟ้อ (inflation) สูง ๆๆ มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วงปกติ และความเสี่ยงของทองไม่สูงเลยถ้าเทียบกับหุ้น ดังนั้นหมายความว่าหุ้นเสี่ยงสูงกว่าแน่นอน แต่ผลตอบแทนก็ดีกว่าและได้ปันผลระหว่างทาง (หลายคนคงถามคำถามในใจว่าดีกว่าอย่างไร อันนี้รายละเอียดยาวเลยครับ ไว้ว่าง ๆจะมาเล่าแล้วกันว่าดีกว่าอย่างไร แต่ผมจะบอกให้เล็กน้อยว่า ลองเอาข้อมูลมา run ซัก 10 ปี  หุ้นกับทอง นะครับ แล้วจะตอบคำถามได้ว่าดีกว่าอย่างไร

    คราวนี้เพื่อนๆ ก็ลองจัด port การลงทุนนะครับว่าช่วงไหนจะใช้เครื่องมืออะไร เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ให้ได้อย่างที่เราสบายใจ และนอนหลับนะครับ เพราะถ้าหากเราไม่สนุกกับการลงทุนถึงผลตอบแทนออกมาดีเพียงไร ผมว่าเราจะไม่สามารถอยู่กับมันได้นานแน่นอนครับ

    ปล.เครื่องมือการลงทุนแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียคนละแบบอีกทั้งความเสี่ยงก็ต่างกัน แต่สิ่งที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้คือความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง จะรบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้งครับ อิๆๆ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

" กาแฟ กับ ถ้วยกาแฟ ความต่างแต่อาจแยกไม่ออก "


   ถ้าเพื่อนเรามาที่บ้านแล้วให้เค้าชงกาแฟกันเอง ผมว่าทุกคนคงจะเลือกถ้วยกาแฟที่สวยเอามาใส่กาแฟเป็นแน่ หลายคนอาจจะบอกว่าไม่จริง แต่ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติมนุษย์เลยแหละที่ทุกคนต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจนลืมไปว่า จริง ๆแล้วเราต้องการกินกาแฟหรือกินถ้วยกาแฟกันแน่
   เปรียบเหมือนชีวิตพวกเรา ที่เราต่างใช้ชีวิตตามสังคมที่เร่งรีบ อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีเงินมากๆ อยากมีหน้ามีตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเปรียบก็เหมือนกับถ้วยกาแฟ เรากำลังหาสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี บอกว่าเจ๋ง มาใส่ตัวเรากันทั้งนั้น จริงๆแล้วเพื่อความพอใจของตัวเองหรือปล่าวผมไม่อาจตอบแทนได้  ซึ่งเมื่อเราโดนสังคมกลืนไปเราก็จะมองเห็นแต่ถ้วยกาแฟที่สวย แต่จริงๆ สิ่งที่จะทำให้มีรสชาติคือกาแฟไม่ใช่หรอครับ ผมว่ากาแฟคือสิ่งที่พวกเราควรค้นหานะ ไม่ใช่แก้ว มันทั้งมีรชชาติหอมกว่า อร่อยกว่า ถ้วยกาแฟเป็นไหน ๆ  
   ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเราจนเรามองข้ามไป เช่น ได้อยู่กับครอบครัวพ่อแม่  อยู่กับคนรัก มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้หรือปล่าวคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข :)




วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

จุดเริ่มต้นของการลงทุนในหุ้น

     ถ้าย้อนไปการลงทุนครั้งแรกของผมคือตอนสมัยเรียนหนังสือ ผมมีประสบการณ์จากการฟังคนโน่น คนนี้พูดเกี่ยวกับหุ้นในทางที่แย่ทุก ๆครั้ง ไม่ว่าจากประสบการณ์คนใกล้ตัวหรือคนอื่นๆ ที่ผมได้รู้จัก อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้เพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 (ลอยตัวค่าเงินบาท) ไม่มากก็น้อย จนผมมารู้ตัวอีกทีก็กลัวมันจริงๆ ไปแล้ว และพยายามหนีห่างเสมอมา แต่จะหนีอย่างไรในเมื่อดวงมันมันสมพงษ์ มันก็คงเลี่ยงไม่ได้ เรื่องม้นมีอยู่ว่าผมได้เข้าไปเรียนด้านการเงินที่มหาลัยแห่งหนึ่งและได้รู้จักเพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุนเยอะและที่นี่เอง ผมได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็เป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอมา เค้าพูดถึงหุ้นในมุมมองที่ผมไม่เคยได้ยินจากที่ไหน เค้าบอกหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมได้ยินมา ผมก็เลยถามเพื่อนว่าผลตอบแทนที่ดีนี่เท่าไหร่ละ เพื่อนคนนี้ก็ตอบว่าเค้าได้มากกว่า 100 % ใน 2 ปี เมื่อได้ยินดังนั้นถึงแม้ผมไม่มีเครื่องคิดเลขผมก็ตอบได้ทันทีว่าเป็นผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมเพราะผมรู้จักแค่การฝากเงิน ผมไม่คิดอะไรมากและก็ได้ถามเพื่อนไปว่าแล้วถ้าผมจะเล่นต้องทำอย่างไร เพื่อนคนนี้แทนที่จะตอบว่าก็แค่นำเงินลงพอร์ทแล้วก็ซื้อขาย แต่กลับบอกผมว่าให้ไปอ่านหนังสือหุ้นจนเข้าใจมันก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ซึ่งผมก็เป็นคนเชื่อคนง่ายหลังจากได้ยินจึงเริ่มทำตามคำแนะนำประกอบกับเป็นคนที่กลัวความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำความเข้าใจในหลายๆ ประเด็นให้เคลียร์ก่อน และหลังจากนั้นมาผมก็ได้ลงทุนในหุ้นมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  ก็ผ่านมาเกือบ 8 ปีแต่ผมก็ยังจำหุ้นตัวแรกในชีวิตของผมได้ไม่ลืมเพราะผมใช้เวลาคิดนานมากกว่าจะเลือกหุ้นได้สักตัวทั้ง ๆ ที่เงินลงทุนตอนนั้นน้อยนิดมาก ซึ่งผลงานก็ได้ไม่เลวเลยทีเดียวได้กำไร  40% หลังจากผ่านไป 6 เดือน

     ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆว่า หากคิดจะลงทุนในหุ้นแทนที่จะนำเงินมาลงทุน เปลี่ยนมาเป็นลงทุนในความรู้แทนก่อนดีกว่าไหม ซึ่งถ้าเราเข้าใจความเสี่ยง และรู้จักมันผมว่าโอกาสทำกำไรบนหุ้นมีให้เราเสมอ

     ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะผมมีเพื่อนที่เล่นหุ้นหลายคน กระโดดเข้ามาเจ็บตัวแล้วก็ออกไป แล้วก็เข้ามาใหม่แล้วก็ทำแบบเดิมอีก ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาเป็นแบบนั้น เชื่อผมเหอะในจำนวนผู้เล่นหุ้นทั้งหมด 10% เท่านั้นที่จะชนะ อีก 90% แพ้ ถ้าอยากเป็นคน 10% คุณต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้มันก่อน ไม่ใช่เริ่มจากเงิน ซึ่งถ้าเริ่มจากเงินแต่ไม่ศึกษาสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เงินตอนออกจากตลาดหุ้นแน่นอน แต่ถ้าเริ่มศึกษาอย่างจริงจังและกระโดดเข้าไปด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อคุณจะเป็น   10% ที่ชนะตลาดได้อย่างแน่นอน

(ปล. ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็ 8 ปี เลยรู้ว่าแก่เลย ฮาๆๆ ผมยังไม่เคยขอบคุณเพื่อนคนนี้อย่างเป็นทางการสักที ถ้าเพื่อนอ่านอยู่ผมอยากบอกขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำทั้งตอนเริ่มต้นและระหว่างทางที่ทำให้คนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินอย่างผม ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ถูกที่ถูกทางและผมอยากบอกว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้หลงรักการลงทุน แบบว่ามันส่วนหนึ่งของชีวิตของผมไปแล้ว)