เรื่องที่ผมจะเล่านี้คือผมได้ไปอ่านหนังสือเล่มนึง ซึ่งถือเป็น 1 ในหนังสือหลาย ๆ เล่มทีดีที่สุดที่ผมอ่านมา ชื่อว่า "Happier" ผู้่เขียนคือดร.ทาล เบน-ซาฮาร์ แห่งหมาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผมเห็นว่ามันอาจจะเป็นประโยบน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อย หนังสือเล่มนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่มันง่ายๆ แต่เราไม่ค่อยหันมามองมันก็คือความสุข เรามีชีวิตที่เร่งรีบ ถูกกดดันจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ จากภายนอกมากมาย ให้ทำโน่นทำนี่ จนลืมว่าจริงๆเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต กว่าเราจะรู้ก็อาจจะสายไปแล้วก็เป็นได้ จริงๆ แล้วเราเพียงต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสุขที่ยั่งยืนไม่ใช่หรอ หนังสือเล่มนี้พยายามบอกว่าความสุขที่ยั่งยืนหาไม่ได้จากการตอนสนองภายนอก เช่นวัตถุ เงินทอง มือถือเครื่องใหม่ เป็นต้น เนื่องจากการตอบสนองจากภายนอกเหล่านี้เป็นสิ่งที่่ตัวเราไม่ได้ปรารถนาด้วยตัวมันเอง สังคมต่างหากเป็นตัวสร้างมันขึ้นมา เราอาจจะมีเงินมาก แต่ก็อาจไม่มีความสุขได้ หรือเราได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เราอาจมีความสุขแต่สักพักเราก็เบื่อ เราก็ต้องหาเครื่องใหม่ไม่มีวันจบสิ้น แต่ความสุขที่แท้จริง จะได้มาจากการตอบสนองภายจากภายในร่างกายของเรา เช่น ได้ทำในสิ่งที่รัก ความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ดี หรือแม้แต่การเดินตามความฝันที่เรียกร้องจากภายในของเรา ซึ่งหากเราพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากกว่าการตอบสนองจากภายนอก ความสุขที่ยั่งยืนจะค่อยๆ กลับมาหาตัวเราทีละน้อย ซึ่งปัจจุบันในโลกที่เร่งรีบเราแทบไม่มีเวลาที่ได้ตอบสนองจากภายในเลย เราตื่นเช้าเราก็ต้องไปทำงาน ซึ่งอาจไม่ได้เป็นงานที่อยากทำแต่จำเป็นต้องทำ พอเลิกงานเราก็ตอบสนองด้วยการไปฉลองกินเหล้า กินเบียร์ กับมาก็ดูโทรท้ศน์ อาบ น้ำ แล้วก็นอน จะเห็นว่าชีวิตพวกเราแทบไม่มีการตอบสนองจากภายในเลยและก็แทบไม่มีเวลาได้คิดด้วยว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ถึงต่อให้เรามีเวลาเงียบๆๆ หรือว่าง ๆ เราก็จะเลือกที่เปิดอินเทอร์เน็ท หรือไม่ดูโทรทัศน์แทน ซึ่งเป็นการตอบสนองจากภายนอกทั้งสิ้น
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกเรายิ่งเจริญขึ้นแต่ความสุขกับหาได้ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว จริงๆ แล้ว ความสุขมันไม่ได้ต้องใช้เงินเยอะอะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง หรือแม้แต่ไม่ต้องเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แค่คุณต้องพยายามทำในสิ่งที่ใจคุณเรียกร้องออกมามากๆ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้างเพื่อหาสิ่่งนั้น และหาเวลาทำมันบ้าง มันคุ้มค่าแน่นอนหากทุกๆ คนพยายามหาสิ่งที่มีอยู่ในตัวตนของแต่ละคนออกมา ทุกวันนี้เราหาวัตถุมาตอบสนองเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็อาจมีความสุขตอนได้มันมาใหม่ แต่พอสักพักเราก็เบื่อมัน นั้่นเป็นเพราะภายในจิตใจเราไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ ฉะนั้นหากเพื่อนๆ ลองสละเวลาวันละครึ่งชั่ว หรือ ชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อทำกิจกรรมที่เราต้องการทำมันจริง หรือ ทำเพื่อความฝัน หรือ เพื่อตอบสนองการเรียกร้องจากภายในตัวเรา ทำไปสักพักนึง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งความสุขเล็ก ๆ จะค่อยเพิ่มขึ้นในตัวท่าน แบบยั่งยืน และระหว่างที่ท่านได้ลองทำกิจกรรมหรือความฝันที่เรียกร้องจากภายในที่ละเล็กละน้อย สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ กิจวัตรประจำวันท่านจะค่อยๆ เปลี่ยนไปและนี่แหละท่านจะสัมผัสความสุขที่ยั่งยืนและมั่นคงอย่างแน่นอน
Blog นี้จัดทำขึ้นเพื่ออธิบายวิธีคิดและการลงทุนของผมผ่านตัวอักษร ถึงแม้พวกเราส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักการลงทุนมากนัก แต่ทุกวันนี้มันไล่ล่าเราอยู่ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมากมายด้วยอัตราเร่ง และจริงๆ แล้ววิธีชนะเงินเฟ้อไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าเราเข้าใจหลักการและเครื่องมือต่าง ๆ ผมหวังว่า journal ของผมจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านอยู่บ้างไม่มากก็น้อยครับ
จำนวนผู้เข้าชม
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Road Map for Investor:: จุดอ่อนของ High Risk, High Return
Road Map for Investor:: จุดอ่อนของ High Risk, High Return: " เพื่อน ๆ คงจะได้ยินเสมอว่า High Risk , High Return เป็นสิ่งที่ติดปากมานานจนเราจำไม่ได้ว่าเราได้ยินมาจากไหนครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ทำให้เราบั..."
Road Map for Investor:: ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน
Road Map for Investor:: ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน: " หลาย ๆครั้ง เพื่อนๆ ถามผมมาก หุ้นกับทอง อะไรดีกว่ากัน ด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้แต่ตอบยากครับ ถ้าผมจะไล่ทฤษฏีการเงิน มันก็คงจะน่าเบื่อ ผมจะขอ..."
Road Map for Investor:: เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น
Road Map for Investor:: เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น: " หลาย ๆ ครั้ง เราชอบบอกว่าเราเป็นนักลงทุนแบบ VI (Value Investor) ฟังดูแล้วเท่ห์จัง แต่น้อยคนที่จะยึดมั่นในหลักการณ์แบบ VI แบบเต็มที่ แต่ก..."
Road Map for Investor:: "ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที
Road Map for Investor:: "ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที: " หลังจากห่างการเขียนไปหลายวัน วันนี้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน ผมจะมาอธิบายสิ่่งที่ผมทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ 'การขายหมู' ขายหมูคืออ..."
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
"ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที
หลังจากห่างการเขียนไปหลายวัน วันนี้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน ผมจะมาอธิบายสิ่่งที่ผมทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ "การขายหมู" ขายหมูคืออาการที่หุ้นขึ้นแล้วขายทิ้้งเพื่อเอากำไร แล้วหุ้นยังขึ้นไปต่ออีกมาก ผมกล้าพูดได้เลยถ้าใครลงทุนในหุ้น ไม่เคยขายหมูสักครั้งผมว่าโกหกแน่ๆ ผมเป็นคนนึงที่ลงทุนในหุ้นตลอดระยะเวลา 7 ปี ผมขายหมูไปหลายรอบมาก มากจนจำไม่ได้ว่าทำไปกี่ครั้ง กว่าจะรู้ว่าไอ้สิ่งที่ทำมันผิดก็ประมาณ 3-4 ปี ทำไมผมถึงไม่เรียนรู้ เพื่อนๆ อาจไม่ได้เป็นแบบผมก็ได้นะ แต่ผมจะบอกว่าทำไมผมถึงไม่เรียนรู้เรื่องนี้สักที เนื่องจากเวลาเราขายหุ้นแล้วได้กำไร เราก็จะเอาเงินไปซื้อตัวอื่นจนไม่ได้มาดูหุ้นตัวเดิมว่าเติบโตไปแล้วเท่าไหร่ นี่เป็นเหตุผลทำให้ผมไม่ได้เรียนรู้สักที เพราะคิดว่าสิ่งทีทำถูกแล้ว เพราะได้กำไรเหมือนกัน แต่ก็วิกฤตที่อเมริกาเมื่อปี 2008 นี่แหละทำให้ผมมีเวลาทบทวนการลงทุน ผมยึด ติดกับทฤษฏีมากไปหรืออาจตีความคำว่าถูกและแพงผิดพลาดไป ทำให้คิดว่าหุ้นแพงแล้วต้องขาย แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า หุ้นจะถูกหรือแพงมันคืออนาคตไม่ใช่ตอนนี้ สมมติหุ้นวันนี้แพง แต่บริษัท Growth ตลอด คำถามคือ ปีหน้าหุ้นจะแพงไหม ตอบได้เลยว่าถูก เพราะ ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น เงินปันผลเพิ่มขึ้น สิ่งที่ผมจะบอกคือผมจะถือหุ้นตัวนี้ต่อเพราะปีหน้ามันจะถูกอีกแล้วราคาจะขึ้นอีก
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำนอกจากจะดูงบการเงินที่เป็นพื้นฐานบริษัทแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงคือ Net Cash Flow ที่บริษัทจะสร้างขึ้นในอนาคตต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าหุ้นถูกหรือแพง ผมจึงอยากบอกเพื่อน ๆ ว่า งบการเงินดูเพื่อบอกพื้นฐานของบริษัทได้ แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว "สิ่งที่เป็นตัวชี้วัด คืออนาคตของบริษัทต่างหากที่สำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวบอกว่าหุ้นแพงหรือหุ้นถูก ควรถือหรือขายได้แล้ว "
ผมหว้ังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ลงทุนในุหุ้นมีผลตอลแทนที่ดีขึ้น ไม่ต้องมานั่งผิดพลาดเหมือนที่ผมเคยเป็น ขอให้เพื่อน ๆโชคดีกับการลงทุนครับ
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำนอกจากจะดูงบการเงินที่เป็นพื้นฐานบริษัทแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงคือ Net Cash Flow ที่บริษัทจะสร้างขึ้นในอนาคตต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าหุ้นถูกหรือแพง ผมจึงอยากบอกเพื่อน ๆ ว่า งบการเงินดูเพื่อบอกพื้นฐานของบริษัทได้ แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว "สิ่งที่เป็นตัวชี้วัด คืออนาคตของบริษัทต่างหากที่สำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวบอกว่าหุ้นแพงหรือหุ้นถูก ควรถือหรือขายได้แล้ว "
ผมหว้ังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ลงทุนในุหุ้นมีผลตอลแทนที่ดีขึ้น ไม่ต้องมานั่งผิดพลาดเหมือนที่ผมเคยเป็น ขอให้เพื่อน ๆโชคดีกับการลงทุนครับ
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น
หลาย ๆ ครั้ง เราชอบบอกว่าเราเป็นนักลงทุนแบบ VI (Value Investor) ฟังดูแล้วเท่ห์จัง แต่น้อยคนที่จะยึดมั่นในหลักการณ์แบบ VI แบบเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไรถ้าหลาย ๆ คนพยายามที่จะประยุกต์ทฤษฏีให้เป็นของตัวเอง และก็ถือเป็นสิ่งที่ดีด้วย เพราะแค่ได้กำไร นั่นก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว
แต่สิ่่่่่งที่ผมจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ได้มาพูดเกี่ยวกับการเลือกหุ้นแบบ Value Investor ผมจะพูดถึงเหตุการณ์หลังจากที่เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน คำถามที่ตามมาเสมอคือเมื่อไหร่ที่จะเข้าซื้อได้ ? และผมเชื่อพวกเราจะมีคำถามตามมาเต็มไปหมดเช่น ตอนนี้หุ้นแพงไปหรือยัง ซื้อเพิ่มได้หรือปล่าว อะไรประมาณนี้ ผมขอแนะนำหัวใจของ Timming ในการเข้าซื้อหุ้น และเป็นวิธีที่ผมใช้มาตลอด อาจจะดูยากสักหน่อย แต่ก็ควรจะสังเกตมันไว้ให้ดี เพราะเราจะตอบคำถามด้านบนได้ทั้งหมด นั่นคือคุณต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น เพราะถ้าคุณอ่านภาพใหญ่ขาด ยากมาก ๆๆๆ ที่คุณจะเล่นหุ้นแล้วขาดทุน ( Assumptionคือคุณต้องเลือกหุ้นให้ดีก่อนนะ) ผมยกตัวอย่างสมมติ หุ้นวันนี้ 1000 จุด ถามผมว่าซื้อได้ไหม ถ้าภาพใหญ่อนาคต สัก 1-2 ปี ผมสามารถเห็น 1500 จุด ผมจะบอกให้คุณซื้อไปเลย ค่อยๆ ทะยอยซื้อก็ได้ แต่ถ้ากลับกัน ผมเห็นว่าอนาคตมันจะลงเหลือ 800 จุด ผมก็บอกคุณว่ามันแพงไปแล้ว ให้ขายทิ้ง แต่มันดูเหมือนง่ายที่จะอ่านขาดขนาดนั้น และผมก็ไม่ได้บอกว่ามันง่ายที่จะอ่านให้ขาด ต้องยอมรับว่ายากเลยแหละและเราควรต้องฝึกฝนไว้ แต่นี่แหละที่ผมบอกว่าเป็นทีเด็ด ที่ต้องอ่านภาพใหญ๋ให้ออก และคนอื่นก็ไม่เข้าใจว่าคุณซื้อหรือขายเพราะอะไร เพราะมันจะสวนทางคนส่วนใหญ่เสมอ เพราะอะไร คนส่วนใหญ่มองภาพเล็ก แต่คนส่วนน้อยมองภาพใหญ่ คุณก็รู้ว่าสองกลุ่มนี้ใครจะเล่นหุ้นแล้วชนะ
แต่ผมไม่ได้บอกนะว่าถ้าภาพใหญ่ขึ้น มันจะขึ้นรวดเดียว หุ้นมันจะขึ้น ๆลงๆ ลงเพื่อขึ้นต่อสับขาหลอกเราไปเรื่อย ๆ สักพักมันก็ถึง 1500 แต่ถามว่าระหว่างทางที่คุณเล่นหุ้นตามตลาดคุณก็จะมึนกับตลาด ที่ขึ้น ๆลงๆ ลง ๆ ขึ้น ๆ รู้อีกที ซื้อหุ้นไปโคตรแพง ผมจะยกตัวอย่าง ชัด ๆว่าใครซื้อแบบภาพใหญ่ ลองสังเกตเวลาฝรั่งซื้อหุ้น คุณจะเห็นรูปแบบนึ่งคือ ทำไมชอบเห็นคนไทยขายแล้วฝรั่งก็ซื้อเอาซื้อเอา แล้วก็บอกว่าฝรั่งโง่ซื้อหุ้นแพง สุดท้ายผมถามคำเดียวเมื่อหุ้นคนไทยที่ขายหมดแล้่ว แล้วกลับมาซื้อใหม่ ถามว่าตอนซื้อกลับคนไทยกับฝรั่งใครซื้อถูกกว่ากัน เห็น ๆ ก้นอยู่ว่าใครจะชนะ นี่แหละที่ผมบอกว่าอยากชนะฝรั่งคุณต้องอ่านภาพใหญ่ขาด ถ้าเราดูภาพใหญ่ฝรั่งก็ดูภาพใหญ่คุณก็จะรบในสนามรบเดียวกัน มันแพ้เราแน่นอน เพราะนี่มันถิ่นเรานะนี่มันประเทศไทย เราจะยอมให้มันอ่านเศรษฐกิจไทยชัดกว่าเราได้ไง จริงปะ แต่ทุกวันนี้ที่เราแพ้ฝรั่งก็เพราะเรารบไม่เหมือนมัน มันใช้เครื่องบิน เราใช้ทหารราบ ไม่บอกก็รู้สนามรบนี้ใครชนะ ฉนั้นอยากชนะการลงทุนในหุ้นคุณต้องมองภาพใหญ่ให้ขาด อ่านมันให้ออก คู่แข่งจะเป็นใครยังไงเราก็กินนิ่ม
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน
หลาย ๆครั้ง เพื่อนๆ ถามผมมาก หุ้นกับทอง อะไรดีกว่ากัน ด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้แต่ตอบยากครับ ถ้าผมจะไล่ทฤษฏีการเงิน มันก็คงจะน่าเบื่อ ผมจะขอเล่าให้มัน simple ที่สุด และละเอียดที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกๆ คนครับ
ผมขอเริ่มจาก commodity ยอด hit ก่อนเลยแล้วกันสิ่งนั้นคือ"ทองคำ" ทอง เป็นสินทรัพย์ไว้กันสำรองของทุกประเทศ นั่นหมายความว่าทุกประเทศจะผลิตพันธบัตรได้ต้องนำทองมาเป็นสำรองก่อนพิมพ์พันธบัตร แต่มีประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องทำแบบนั้น นั่นก็คืออเมริกา
อเมริกาไม่ต้องนำทองมากันสำรองเวลาพิมพ์พันธ์บัตรเพิ่ม ดังนั้นอเมริกาสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด ยิ่งพิมพ์มากมูลค่าเงินของอเมริกา (US dollar ) ก็ลดมูลค่าลง ในเมื่อเป็นดังนี้ในปี 2008 ที่อเมริกาได้เกิด Subprime Mortgage Crisis และยักษ์ใหญ่อย่าง เลห์แมนบราเธอร์ได้ล้มลง และตามด้วยอีกหลายบริษัท ทำให้รัฐบาลต้องพิมพ์พันธบัตรเพื่ออัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าเงินอเมริกา อ่อนค่าลงอย่างมาก ผลกระทบเห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งจาก 35 baht/US dollar ปัจจุบัน 30 bath/US dollar ทำให้คนที่ใช้ dollar ต้องหาทางเพิ่ง commodity ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าทอง จะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ทองขึ้นเยอะมาก ที่ผมชี้ประเด็นนี้ผมจะบอกว่าจริง ๆ แล้วทอง เป็นสิ่งที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ฝรั่งเค้าจึงเรียกทองว่า safe heaven แต่ผมไม่ได้บอกว่าทองจะให้ผลตอบแทนมากที่สุดนะครับ
ผมจะกลับไปตอบคำถามตอนต้นนะครับ "ว่าหุ้นกับทองอะไรน่าลงทุนกว่า" ผมขอตอบในมุมมองผมแล้วกัน ทองเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดเงินเฟ้อ (inflation) สูง ๆๆ มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วงปกติ และความเสี่ยงของทองไม่สูงเลยถ้าเทียบกับหุ้น ดังนั้นหมายความว่าหุ้นเสี่ยงสูงกว่าแน่นอน แต่ผลตอบแทนก็ดีกว่าและได้ปันผลระหว่างทาง (หลายคนคงถามคำถามในใจว่าดีกว่าอย่างไร อันนี้รายละเอียดยาวเลยครับ ไว้ว่าง ๆจะมาเล่าแล้วกันว่าดีกว่าอย่างไร แต่ผมจะบอกให้เล็กน้อยว่า ลองเอาข้อมูลมา run ซัก 10 ปี หุ้นกับทอง นะครับ แล้วจะตอบคำถามได้ว่าดีกว่าอย่างไร
คราวนี้เพื่อนๆ ก็ลองจัด port การลงทุนนะครับว่าช่วงไหนจะใช้เครื่องมืออะไร เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ให้ได้อย่างที่เราสบายใจ และนอนหลับนะครับ เพราะถ้าหากเราไม่สนุกกับการลงทุนถึงผลตอบแทนออกมาดีเพียงไร ผมว่าเราจะไม่สามารถอยู่กับมันได้นานแน่นอนครับ
ปล.เครื่องมือการลงทุนแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียคนละแบบอีกทั้งความเสี่ยงก็ต่างกัน แต่สิ่งที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้คือความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง จะรบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้งครับ อิๆๆ
ผมขอเริ่มจาก commodity ยอด hit ก่อนเลยแล้วกันสิ่งนั้นคือ"ทองคำ" ทอง เป็นสินทรัพย์ไว้กันสำรองของทุกประเทศ นั่นหมายความว่าทุกประเทศจะผลิตพันธบัตรได้ต้องนำทองมาเป็นสำรองก่อนพิมพ์พันธบัตร แต่มีประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องทำแบบนั้น นั่นก็คืออเมริกา
อเมริกาไม่ต้องนำทองมากันสำรองเวลาพิมพ์พันธ์บัตรเพิ่ม ดังนั้นอเมริกาสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด ยิ่งพิมพ์มากมูลค่าเงินของอเมริกา (US dollar ) ก็ลดมูลค่าลง ในเมื่อเป็นดังนี้ในปี 2008 ที่อเมริกาได้เกิด Subprime Mortgage Crisis และยักษ์ใหญ่อย่าง เลห์แมนบราเธอร์ได้ล้มลง และตามด้วยอีกหลายบริษัท ทำให้รัฐบาลต้องพิมพ์พันธบัตรเพื่ออัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าเงินอเมริกา อ่อนค่าลงอย่างมาก ผลกระทบเห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งจาก 35 baht/US dollar ปัจจุบัน 30 bath/US dollar ทำให้คนที่ใช้ dollar ต้องหาทางเพิ่ง commodity ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าทอง จะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ทองขึ้นเยอะมาก ที่ผมชี้ประเด็นนี้ผมจะบอกว่าจริง ๆ แล้วทอง เป็นสิ่งที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ฝรั่งเค้าจึงเรียกทองว่า safe heaven แต่ผมไม่ได้บอกว่าทองจะให้ผลตอบแทนมากที่สุดนะครับ
ผมจะกลับไปตอบคำถามตอนต้นนะครับ "ว่าหุ้นกับทองอะไรน่าลงทุนกว่า" ผมขอตอบในมุมมองผมแล้วกัน ทองเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดเงินเฟ้อ (inflation) สูง ๆๆ มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วงปกติ และความเสี่ยงของทองไม่สูงเลยถ้าเทียบกับหุ้น ดังนั้นหมายความว่าหุ้นเสี่ยงสูงกว่าแน่นอน แต่ผลตอบแทนก็ดีกว่าและได้ปันผลระหว่างทาง (หลายคนคงถามคำถามในใจว่าดีกว่าอย่างไร อันนี้รายละเอียดยาวเลยครับ ไว้ว่าง ๆจะมาเล่าแล้วกันว่าดีกว่าอย่างไร แต่ผมจะบอกให้เล็กน้อยว่า ลองเอาข้อมูลมา run ซัก 10 ปี หุ้นกับทอง นะครับ แล้วจะตอบคำถามได้ว่าดีกว่าอย่างไร
คราวนี้เพื่อนๆ ก็ลองจัด port การลงทุนนะครับว่าช่วงไหนจะใช้เครื่องมืออะไร เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ให้ได้อย่างที่เราสบายใจ และนอนหลับนะครับ เพราะถ้าหากเราไม่สนุกกับการลงทุนถึงผลตอบแทนออกมาดีเพียงไร ผมว่าเราจะไม่สามารถอยู่กับมันได้นานแน่นอนครับ
ปล.เครื่องมือการลงทุนแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียคนละแบบอีกทั้งความเสี่ยงก็ต่างกัน แต่สิ่งที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้คือความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง จะรบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้งครับ อิๆๆ
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
" กาแฟ กับ ถ้วยกาแฟ ความต่างแต่อาจแยกไม่ออก "
ถ้าเพื่อนเรามาที่บ้านแล้วให้เค้าชงกาแฟกันเอง ผมว่าทุกคนคงจะเลือกถ้วยกาแฟที่สวยเอามาใส่กาแฟเป็นแน่ หลายคนอาจจะบอกว่าไม่จริง แต่ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติมนุษย์เลยแหละที่ทุกคนต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจนลืมไปว่า จริง ๆแล้วเราต้องการกินกาแฟหรือกินถ้วยกาแฟกันแน่
เปรียบเหมือนชีวิตพวกเรา ที่เราต่างใช้ชีวิตตามสังคมที่เร่งรีบ อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีเงินมากๆ อยากมีหน้ามีตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเปรียบก็เหมือนกับถ้วยกาแฟ เรากำลังหาสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี บอกว่าเจ๋ง มาใส่ตัวเรากันทั้งนั้น จริงๆแล้วเพื่อความพอใจของตัวเองหรือปล่าวผมไม่อาจตอบแทนได้ ซึ่งเมื่อเราโดนสังคมกลืนไปเราก็จะมองเห็นแต่ถ้วยกาแฟที่สวย แต่จริงๆ สิ่งที่จะทำให้มีรสชาติคือกาแฟไม่ใช่หรอครับ ผมว่ากาแฟคือสิ่งที่พวกเราควรค้นหานะ ไม่ใช่แก้ว มันทั้งมีรชชาติหอมกว่า อร่อยกว่า ถ้วยกาแฟเป็นไหน ๆ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเราจนเรามองข้ามไป เช่น ได้อยู่กับครอบครัวพ่อแม่ อยู่กับคนรัก มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้หรือปล่าวคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข :)
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554
จุดเริ่มต้นของการลงทุนในหุ้น
ถ้าย้อนไปการลงทุนครั้งแรกของผมคือตอนสมัยเรียนหนังสือ ผมมีประสบการณ์จากการฟังคนโน่น คนนี้พูดเกี่ยวกับหุ้นในทางที่แย่ทุก ๆครั้ง ไม่ว่าจากประสบการณ์คนใกล้ตัวหรือคนอื่นๆ ที่ผมได้รู้จัก อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้เพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 (ลอยตัวค่าเงินบาท) ไม่มากก็น้อย จนผมมารู้ตัวอีกทีก็กลัวมันจริงๆ ไปแล้ว และพยายามหนีห่างเสมอมา แต่จะหนีอย่างไรในเมื่อดวงมันมันสมพงษ์ มันก็คงเลี่ยงไม่ได้ เรื่องม้นมีอยู่ว่าผมได้เข้าไปเรียนด้านการเงินที่มหาลัยแห่งหนึ่งและได้รู้จักเพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุนเยอะและที่นี่เอง ผมได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็เป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอมา เค้าพูดถึงหุ้นในมุมมองที่ผมไม่เคยได้ยินจากที่ไหน เค้าบอกหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมได้ยินมา ผมก็เลยถามเพื่อนว่าผลตอบแทนที่ดีนี่เท่าไหร่ละ เพื่อนคนนี้ก็ตอบว่าเค้าได้มากกว่า 100 % ใน 2 ปี เมื่อได้ยินดังนั้นถึงแม้ผมไม่มีเครื่องคิดเลขผมก็ตอบได้ทันทีว่าเป็นผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมเพราะผมรู้จักแค่การฝากเงิน ผมไม่คิดอะไรมากและก็ได้ถามเพื่อนไปว่าแล้วถ้าผมจะเล่นต้องทำอย่างไร เพื่อนคนนี้แทนที่จะตอบว่าก็แค่นำเงินลงพอร์ทแล้วก็ซื้อขาย แต่กลับบอกผมว่าให้ไปอ่านหนังสือหุ้นจนเข้าใจมันก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ซึ่งผมก็เป็นคนเชื่อคนง่ายหลังจากได้ยินจึงเริ่มทำตามคำแนะนำประกอบกับเป็นคนที่กลัวความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำความเข้าใจในหลายๆ ประเด็นให้เคลียร์ก่อน และหลังจากนั้นมาผมก็ได้ลงทุนในหุ้นมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาเกือบ 8 ปีแต่ผมก็ยังจำหุ้นตัวแรกในชีวิตของผมได้ไม่ลืมเพราะผมใช้เวลาคิดนานมากกว่าจะเลือกหุ้นได้สักตัวทั้ง ๆ ที่เงินลงทุนตอนนั้นน้อยนิดมาก ซึ่งผลงานก็ได้ไม่เลวเลยทีเดียวได้กำไร 40% หลังจากผ่านไป 6 เดือน
ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆว่า หากคิดจะลงทุนในหุ้นแทนที่จะนำเงินมาลงทุน เปลี่ยนมาเป็นลงทุนในความรู้แทนก่อนดีกว่าไหม ซึ่งถ้าเราเข้าใจความเสี่ยง และรู้จักมันผมว่าโอกาสทำกำไรบนหุ้นมีให้เราเสมอ
ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะผมมีเพื่อนที่เล่นหุ้นหลายคน กระโดดเข้ามาเจ็บตัวแล้วก็ออกไป แล้วก็เข้ามาใหม่แล้วก็ทำแบบเดิมอีก ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาเป็นแบบนั้น เชื่อผมเหอะในจำนวนผู้เล่นหุ้นทั้งหมด 10% เท่านั้นที่จะชนะ อีก 90% แพ้ ถ้าอยากเป็นคน 10% คุณต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้มันก่อน ไม่ใช่เริ่มจากเงิน ซึ่งถ้าเริ่มจากเงินแต่ไม่ศึกษาสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เงินตอนออกจากตลาดหุ้นแน่นอน แต่ถ้าเริ่มศึกษาอย่างจริงจังและกระโดดเข้าไปด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อคุณจะเป็น 10% ที่ชนะตลาดได้อย่างแน่นอน
(ปล. ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็ 8 ปี เลยรู้ว่าแก่เลย ฮาๆๆ ผมยังไม่เคยขอบคุณเพื่อนคนนี้อย่างเป็นทางการสักที ถ้าเพื่อนอ่านอยู่ผมอยากบอกขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำทั้งตอนเริ่มต้นและระหว่างทางที่ทำให้คนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินอย่างผม ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ถูกที่ถูกทางและผมอยากบอกว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้หลงรักการลงทุน แบบว่ามันส่วนหนึ่งของชีวิตของผมไปแล้ว)
ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆว่า หากคิดจะลงทุนในหุ้นแทนที่จะนำเงินมาลงทุน เปลี่ยนมาเป็นลงทุนในความรู้แทนก่อนดีกว่าไหม ซึ่งถ้าเราเข้าใจความเสี่ยง และรู้จักมันผมว่าโอกาสทำกำไรบนหุ้นมีให้เราเสมอ
ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะผมมีเพื่อนที่เล่นหุ้นหลายคน กระโดดเข้ามาเจ็บตัวแล้วก็ออกไป แล้วก็เข้ามาใหม่แล้วก็ทำแบบเดิมอีก ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาเป็นแบบนั้น เชื่อผมเหอะในจำนวนผู้เล่นหุ้นทั้งหมด 10% เท่านั้นที่จะชนะ อีก 90% แพ้ ถ้าอยากเป็นคน 10% คุณต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้มันก่อน ไม่ใช่เริ่มจากเงิน ซึ่งถ้าเริ่มจากเงินแต่ไม่ศึกษาสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เงินตอนออกจากตลาดหุ้นแน่นอน แต่ถ้าเริ่มศึกษาอย่างจริงจังและกระโดดเข้าไปด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อคุณจะเป็น 10% ที่ชนะตลาดได้อย่างแน่นอน
(ปล. ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็ 8 ปี เลยรู้ว่าแก่เลย ฮาๆๆ ผมยังไม่เคยขอบคุณเพื่อนคนนี้อย่างเป็นทางการสักที ถ้าเพื่อนอ่านอยู่ผมอยากบอกขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำทั้งตอนเริ่มต้นและระหว่างทางที่ทำให้คนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินอย่างผม ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ถูกที่ถูกทางและผมอยากบอกว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้หลงรักการลงทุน แบบว่ามันส่วนหนึ่งของชีวิตของผมไปแล้ว)
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
จุดอ่อนของ High Risk, High Return
เพื่อน ๆ คงจะได้ยินเสมอว่า High Risk , High Return เป็นสิ่งที่ติดปากมานานจนเราจำไม่ได้ว่าเราได้ยินมาจากไหนครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ทำให้เราบันทึกสิ่งนี้เข้าไปในตัวเราโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวรวมทั้งตัวกระผมด้วย
จนเมื่อ ผมเริ่มลงทุนครั้งแรกผมถึงตระหนักว่ามันไม่จริงเลย หลายๆ ครั้งเราโดนสอนมาโดยที่เราไม่ตระหนักจริง ๆว่ามันจริงหรือไม่ ซึ่งตรงนี้แหละทำให้เราทำได้แค่มีผลตอบแทนในระดับแค่ตลาด ก็คือเท่ากับ average
บางคนบอว่าการลงทุนในหุ้นเสี่ยงสูงแต่อสัหาริมทรัพย์เสี่ยงสูงกว่า ส่วนเล่นแชร์เสี่ยงต่ำกว่าหุ้น อะไรประมาณนี้ ผมอยากเสนอสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เองจากการลงทุน ผมอยากบอกว่า "ความเสี่ยงจริง ๆ มันไม่ได้อยู่ที่ตัว asset แต่มันอยู่ที่ตัวคุณ ดังนั้นถ้าผมพูดแบบนี้แสดงว่า asset แบบเดียวกันแต่อยู่ที่คนลงทุนคนละคนกัน ความเสี่ยงต่างกัน" หรือเรียกอีกอย่าว่า "High Understand, High Return"
ผมมีตัวอย่างมาเสนอ ผมถามคุณว่าเครื่องบินเสี่ยงไหมถ้าคุณขึ้นไปขับ ทุกคนตอบว่าเสี่ยง แต่ถ้าคุณไปถามนักบินทุกคนที่เคยบิน เค้าก็จะบอกไม่ได้เสี่ยงอะไรนิ ผมบินอยู่ทุกวัน นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณมีความเข้าใจมากๆ ความชำนาญมากๆ สำหรับ asset ชิ้นนั้น ๅ คุณจะรู้ว่ามันไม่เสี่ยง แต่มันจะเสี่ยงสำหรับคนที่ไม่เคยทำ ทำไม่เป็น
เมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด ไม่ควรเลือกการลงทุนตามคนอื่นเพราะถ้าคุณถนัดคุณก็จะเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง ตามประโยคที่ว่า High Understand, High Return
จนเมื่อ ผมเริ่มลงทุนครั้งแรกผมถึงตระหนักว่ามันไม่จริงเลย หลายๆ ครั้งเราโดนสอนมาโดยที่เราไม่ตระหนักจริง ๆว่ามันจริงหรือไม่ ซึ่งตรงนี้แหละทำให้เราทำได้แค่มีผลตอบแทนในระดับแค่ตลาด ก็คือเท่ากับ average
บางคนบอว่าการลงทุนในหุ้นเสี่ยงสูงแต่อสัหาริมทรัพย์เสี่ยงสูงกว่า ส่วนเล่นแชร์เสี่ยงต่ำกว่าหุ้น อะไรประมาณนี้ ผมอยากเสนอสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เองจากการลงทุน ผมอยากบอกว่า "ความเสี่ยงจริง ๆ มันไม่ได้อยู่ที่ตัว asset แต่มันอยู่ที่ตัวคุณ ดังนั้นถ้าผมพูดแบบนี้แสดงว่า asset แบบเดียวกันแต่อยู่ที่คนลงทุนคนละคนกัน ความเสี่ยงต่างกัน" หรือเรียกอีกอย่าว่า "High Understand, High Return"
ผมมีตัวอย่างมาเสนอ ผมถามคุณว่าเครื่องบินเสี่ยงไหมถ้าคุณขึ้นไปขับ ทุกคนตอบว่าเสี่ยง แต่ถ้าคุณไปถามนักบินทุกคนที่เคยบิน เค้าก็จะบอกไม่ได้เสี่ยงอะไรนิ ผมบินอยู่ทุกวัน นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณมีความเข้าใจมากๆ ความชำนาญมากๆ สำหรับ asset ชิ้นนั้น ๅ คุณจะรู้ว่ามันไม่เสี่ยง แต่มันจะเสี่ยงสำหรับคนที่ไม่เคยทำ ทำไม่เป็น
เมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด ไม่ควรเลือกการลงทุนตามคนอื่นเพราะถ้าคุณถนัดคุณก็จะเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง ตามประโยคที่ว่า High Understand, High Return
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
อิสรภาพทางการเงิน เริ่มต้นที่สิ่งง่าย ๆ คือวินัย (1)
หลายครั้งที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่ง่าย ๆไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันดี เช่น ตอนเราเป็นเด็กแม่ให้อ่านหนังสือทุกวันแล้วบอกว่าเราจะเรียนหนังสือเก่ง เราก็รู้ว่าการอ่านหนังสือสำคัญแต่เราก็ไม่อ่าน หรืออย่างเช่น ทุกคนรู้ว่าการขยันเป็นสิ่งที่ดี แต่พอถึงจริง ๆทำไมทำกันไม่ได้ หรือแม้แต่ทุกคนรู้ว่าออกกำลังกายแล้วทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่พอบอกให้ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2 วันบอกว่าไม่มีเวลา
ผมจึงขอนิยามสิ่งเล็ก ๆ ที่ทุกคนรู้ว่าดีแต่ทำไม่ได้เรียกว่าวินัย ปัญหาที่เกิดกับคนทั่วไปคือหาเงินได้แต่เงินไม่พอใช้ บางครั้งมันทำให้ย้อนมองว่า แล้วทำไมตอนเรียนหนังสือเราได้เงินน้อยกว่าตอนทำงานอีกทำไมเราถึงพอใช้ คำถามคือจริง ๆ เราเงินพอแต่เราปล่อยปะละเลยกับการวางแผนทางการเงินซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอิสรภาพทากการเงิน
หนทางร้อยก้าวเริ่มต้นที่ก้าวแรก ถ้าเพื่อนๆ บอกเก็บเงินไม่ได้ ใช้เงินไม่พอ ผมอยากให้เพื่อน ๆ ทำ 2 ข้อเล็ก ๆ ซึ่งผมเชื่อเลยว่า 2 ข้อนี้ทุก ๆคนสามารถทำได้ไม่ได้ยากเลย แต่จะทำหรือปล่าวอีกเรื่องนึงนะครับ
1. หางานทำ - อันนี้ง่ายใช่ไหมครับ แค่หางานให้ได้
2. ออมเงิน 10%-20% ของรายได้ทุกเดือน เช่นถ้าหากเราได้เงินเดือน 20,000 บาท เราต้องเก็บ 2,000 บาท หรือถ้าเราเดือนละ 10,000 เราก็เก็บเดือนละ 1,000 บาท (ต้องกันเงินไว้ตั้งแต่เงินเดือนออกก่อนใช้นะครับ)
ผมรับประกันถ้าพื่อน ๆ ทำอย่างนี้ได้สักปีนึงสม่ำเสมอ ผมเชื่อเลยว่าเพื่อน ๆจะ ได้วินัยการเงินที่สำคัญโดยที่ผู้ทำก็ยังไม่รู้ตัว และนี่แหละคือก้าวแรกของอิสรภาพทางการเงิน
ผมจึงขอนิยามสิ่งเล็ก ๆ ที่ทุกคนรู้ว่าดีแต่ทำไม่ได้เรียกว่าวินัย ปัญหาที่เกิดกับคนทั่วไปคือหาเงินได้แต่เงินไม่พอใช้ บางครั้งมันทำให้ย้อนมองว่า แล้วทำไมตอนเรียนหนังสือเราได้เงินน้อยกว่าตอนทำงานอีกทำไมเราถึงพอใช้ คำถามคือจริง ๆ เราเงินพอแต่เราปล่อยปะละเลยกับการวางแผนทางการเงินซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอิสรภาพทากการเงิน
หนทางร้อยก้าวเริ่มต้นที่ก้าวแรก ถ้าเพื่อนๆ บอกเก็บเงินไม่ได้ ใช้เงินไม่พอ ผมอยากให้เพื่อน ๆ ทำ 2 ข้อเล็ก ๆ ซึ่งผมเชื่อเลยว่า 2 ข้อนี้ทุก ๆคนสามารถทำได้ไม่ได้ยากเลย แต่จะทำหรือปล่าวอีกเรื่องนึงนะครับ
1. หางานทำ - อันนี้ง่ายใช่ไหมครับ แค่หางานให้ได้
2. ออมเงิน 10%-20% ของรายได้ทุกเดือน เช่นถ้าหากเราได้เงินเดือน 20,000 บาท เราต้องเก็บ 2,000 บาท หรือถ้าเราเดือนละ 10,000 เราก็เก็บเดือนละ 1,000 บาท (ต้องกันเงินไว้ตั้งแต่เงินเดือนออกก่อนใช้นะครับ)
ผมรับประกันถ้าพื่อน ๆ ทำอย่างนี้ได้สักปีนึงสม่ำเสมอ ผมเชื่อเลยว่าเพื่อน ๆจะ ได้วินัยการเงินที่สำคัญโดยที่ผู้ทำก็ยังไม่รู้ตัว และนี่แหละคือก้าวแรกของอิสรภาพทางการเงิน
ราคาของ Brand ใครกันเป็นคนจ่าย
หลายครั้งผมเห็นเพื่อน ๆ ของผมเน้นกันที่ยี่ห้อสินค้ามากกว่า ประโยชน์ใช้สอยและคุณภาพบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ตกลงผมเป็นคนกลุ่มน้อยที่คิดแบบนี้หรือปล่าว แต่ผมมาคิดอีกทีว่าอาจจะไม่ใช้จริงๆ แล้วคนที่ตัดสินใจอาจมีข้อมูลไม่เท่ากันก็ได้เค้าเหล่านั้นถึงมีพฤติกรรมที่ตัดสินใจในแต่ละสิ่งไม่เหมือนกัน
วันนี้ผมจะมาอธิบายเพิ่มเติมข้อมูลเผื่อเพื่อนๆจะลืมคิดถึงมันเพราะถ้าเรามาคิดดีๆ ในอีกแง่ของผู้ขายว่าบริษัทสร้าง brand ก็ต้องใช้เงินสร้างมหาศาล แล้วต้นทุนพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนละ เพื่อน ๆลองคิดดูสิ ก็ตกอยู่ที่ราคาสินค้าที่พวกเราซื้อแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องแบกรับภาระพวกนี้โดยที่คนตัดสินใจไม่รู้มาก่อน บางครั้งผมงงมากเลยกระเป๋าผู้หญิงใบละ 60,000 ถึง 100,000 บาท ผมเชื่อนะเต็มที่ต้นทุนไม่น่าจะเกิน 10,000 บาทต่อใบ
แต่ยิ่งแปลกคือมีคนซื้อผมก็เลยไม่เข้าใจการตัดสินใจของคนที่ซื้อ ซื้อเพราะใช้แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองรวยขึ้นทั้งๆ ที่จริงๆไม่ หรือว่าใช้ตาม ๆกันกับเพื่อน จะอย่างไรก็ตามจะเห็นว่าเหตุผลที่ซื้อมันไม่สมเหตุผล เนื่องจากไม่ได้เลือกที่ประโยชน์ใช้สอยและคุณภาพ ผมก็เลยจะขอฝากว่าการที่ตัดสินใจโดยไม่คิดถึงประโยชน์ใช้สอยและคุณภาพสินค้าสิ่งที่ได้กลับมาอาจเป็นราคาที่จ่ายให้เจ้าของสินค้า ฟรี ๆ
วันนี้ผมจะมาอธิบายเพิ่มเติมข้อมูลเผื่อเพื่อนๆจะลืมคิดถึงมันเพราะถ้าเรามาคิดดีๆ ในอีกแง่ของผู้ขายว่าบริษัทสร้าง brand ก็ต้องใช้เงินสร้างมหาศาล แล้วต้นทุนพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนละ เพื่อน ๆลองคิดดูสิ ก็ตกอยู่ที่ราคาสินค้าที่พวกเราซื้อแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องแบกรับภาระพวกนี้โดยที่คนตัดสินใจไม่รู้มาก่อน บางครั้งผมงงมากเลยกระเป๋าผู้หญิงใบละ 60,000 ถึง 100,000 บาท ผมเชื่อนะเต็มที่ต้นทุนไม่น่าจะเกิน 10,000 บาทต่อใบ
แต่ยิ่งแปลกคือมีคนซื้อผมก็เลยไม่เข้าใจการตัดสินใจของคนที่ซื้อ ซื้อเพราะใช้แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองรวยขึ้นทั้งๆ ที่จริงๆไม่ หรือว่าใช้ตาม ๆกันกับเพื่อน จะอย่างไรก็ตามจะเห็นว่าเหตุผลที่ซื้อมันไม่สมเหตุผล เนื่องจากไม่ได้เลือกที่ประโยชน์ใช้สอยและคุณภาพ ผมก็เลยจะขอฝากว่าการที่ตัดสินใจโดยไม่คิดถึงประโยชน์ใช้สอยและคุณภาพสินค้าสิ่งที่ได้กลับมาอาจเป็นราคาที่จ่ายให้เจ้าของสินค้า ฟรี ๆ
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ความสุขกับการรอคอย
เพื่อน ๆทุกคนเติบโตมาทุกวันนี้ คิดบ้างไหมชีวิตเรามีแต่รอคอยเพื่อจะมีความสุข เมื่อเราเริ่มเรียนจบพวกเราก็จะบอกว่าเดี๋ยวฉันจะมีความสุขถ้าฉัน Entrance เข้ามหาลัยดี ๆได้ เแต่พอเมื่อเราเข้ามหาลัยเราก็บอกเดี๋ยวเราจะมีความสุขถ้าเราเรียนจบและได้งานดี ๆทำ พอเราทำงานเราก็บอกกับตัวเองอีกว่าเดี๋ยวเราต้องมีบ้าน มีรถก่อนเราถึงมีความสุข ถามหน่อยว่าถ้าเป็นยังงี้เราจะเจอความสุขได้ยังไง ความสุขมีต้นทุนถ้าเรามัวแต่รอๆ ไปเรื่อยๆ วันนึงเราอาจไม่ได้เจอมันเลยก็ได้แล้วคุณจะเสียดายไหมลองคิดดูแล้วกัน ความสุขควรมีทุก ๆวินาที แค่เราตื่นมาเราก็ต้องยิ้มให้กับตัวเองแล้วว่าโชคดีจังที่เรายังมีชีวิตอยู่ที่จะได้ทำสิ่งต่าง ๆต้องมากมายบนโลกใบนี้ ดังนั้นเมื่อเราเกิดมาเราควรทำชีวิตให้มีค่าอย่างเต็มที่ทุก ๆ วัน แล้ววันนึงเมื่อเวลาผ่านไปเราจะไม่รู้สึกเสียดายเลยเมื่อเราเดินทางไปที่ไกลแสนไกล "สุกข์ ทุกข์ ต่างกันที่ใจใช่อื่นใดเล่า
โชคดีสร้างได้เสมอ
โชคดี หรือ โชค คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่รับรู้ว่่า่มันเป็นสิ่งที่เกิดจากปัจจัยภายนอก โดยเราไม่ต้องไปทำอะไร แต่คำถามคือพวกเราทุกๆ คนคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือปล่าว เพราะเวลาผมเห็นคนประสบความสำเร็จ ก็มักจะมีเสียงของหลายๆคนชอบพูดว่า เค้าโชคดีจัง แต่พวกเรากับลืมเรียนรู้ไปว่า จริง ๆแล้ว โชคดี คือ โอกาส + ความพร้อมไม่ใช่หรอ
จริงๆ แล้ว โอกาสมีอยู่รอบตัวเราเสมอ แต่สิ่งที่หลาย ๆคน ไม่มีคือความพร้อมต่างหาก เพราะพวกเราไม่เคยเตรียมตัว และก็นั่งรอโชคอยู่เฉย ๆ ซึ่งโชคดีก็จะไม่มีทางเกิดกับคน ๆ นั้นเด็ดขาด เพราะมันต้องมีทั้งความพร้อมและโอกาสในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นถ้าจะสร้างโชคดีให้เกิดกับเราในวันนี้ เราต้องเตรียมตัวเราเองให้พร้อมเสมอ ทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องไปสนใจกับผลลัพธ์ เพราะโอกาสมีอยู่รอบ ๆเราเสมอ ทำแค่นี้โชคดีก็จะเกิดกับเพื่อน ๆทุกๆ คน
จริงๆ แล้ว โอกาสมีอยู่รอบตัวเราเสมอ แต่สิ่งที่หลาย ๆคน ไม่มีคือความพร้อมต่างหาก เพราะพวกเราไม่เคยเตรียมตัว และก็นั่งรอโชคอยู่เฉย ๆ ซึ่งโชคดีก็จะไม่มีทางเกิดกับคน ๆ นั้นเด็ดขาด เพราะมันต้องมีทั้งความพร้อมและโอกาสในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นถ้าจะสร้างโชคดีให้เกิดกับเราในวันนี้ เราต้องเตรียมตัวเราเองให้พร้อมเสมอ ทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องไปสนใจกับผลลัพธ์ เพราะโอกาสมีอยู่รอบ ๆเราเสมอ ทำแค่นี้โชคดีก็จะเกิดกับเพื่อน ๆทุกๆ คน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)