จำนวนผู้เข้าชม

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความสุขที่แท้จริงอยู่ในตัวเรา

       เรื่องที่ผมจะเล่านี้คือผมได้ไปอ่านหนังสือเล่มนึง ซึ่งถือเป็น 1 ในหนังสือหลาย ๆ เล่มทีดีที่สุดที่ผมอ่านมา ชื่อว่า "Happier"  ผู้่เขียนคือดร.ทาล เบน-ซาฮาร์ แห่งหมาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผมเห็นว่ามันอาจจะเป็นประโยบน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อย หนังสือเล่มนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่มันง่ายๆ แต่เราไม่ค่อยหันมามองมันก็คือความสุข เรามีชีวิตที่เร่งรีบ ถูกกดดันจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ จากภายนอกมากมาย ให้ทำโน่นทำนี่ จนลืมว่าจริงๆเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต กว่าเราจะรู้ก็อาจจะสายไปแล้วก็เป็นได้ จริงๆ แล้วเราเพียงต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสุขที่ยั่งยืนไม่ใช่หรอ  หนังสือเล่มนี้พยายามบอกว่าความสุขที่ยั่งยืนหาไม่ได้จากการตอนสนองภายนอก เช่นวัตถุ เงินทอง มือถือเครื่องใหม่ เป็นต้น เนื่องจากการตอบสนองจากภายนอกเหล่านี้เป็นสิ่งที่่ตัวเราไม่ได้ปรารถนาด้วยตัวมันเอง สังคมต่างหากเป็นตัวสร้างมันขึ้นมา เราอาจจะมีเงินมาก แต่ก็อาจไม่มีความสุขได้  หรือเราได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เราอาจมีความสุขแต่สักพักเราก็เบื่อ เราก็ต้องหาเครื่องใหม่ไม่มีวันจบสิ้น แต่ความสุขที่แท้จริง จะได้มาจากการตอบสนองภายจากภายในร่างกายของเรา เช่น ได้ทำในสิ่งที่รัก ความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ดี หรือแม้แต่การเดินตามความฝันที่เรียกร้องจากภายในของเรา ซึ่งหากเราพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากกว่าการตอบสนองจากภายนอก ความสุขที่ยั่งยืนจะค่อยๆ กลับมาหาตัวเราทีละน้อย ซึ่งปัจจุบันในโลกที่เร่งรีบเราแทบไม่มีเวลาที่ได้ตอบสนองจากภายในเลย เราตื่นเช้าเราก็ต้องไปทำงาน ซึ่งอาจไม่ได้เป็นงานที่อยากทำแต่จำเป็นต้องทำ พอเลิกงานเราก็ตอบสนองด้วยการไปฉลองกินเหล้า กินเบียร์ กับมาก็ดูโทรท้ศน์ อาบ น้ำ แล้วก็นอน จะเห็นว่าชีวิตพวกเราแทบไม่มีการตอบสนองจากภายในเลยและก็แทบไม่มีเวลาได้คิดด้วยว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ถึงต่อให้เรามีเวลาเงียบๆๆ หรือว่าง ๆ เราก็จะเลือกที่เปิดอินเทอร์เน็ท หรือไม่ดูโทรทัศน์แทน ซึ่งเป็นการตอบสนองจากภายนอกทั้งสิ้น

        นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกเรายิ่งเจริญขึ้นแต่ความสุขกับหาได้ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว จริงๆ แล้ว ความสุขมันไม่ได้ต้องใช้เงินเยอะอะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง หรือแม้แต่ไม่ต้องเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แค่คุณต้องพยายามทำในสิ่งที่ใจคุณเรียกร้องออกมามากๆ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้างเพื่อหาสิ่่งนั้น และหาเวลาทำมันบ้าง มันคุ้มค่าแน่นอนหากทุกๆ คนพยายามหาสิ่งที่มีอยู่ในตัวตนของแต่ละคนออกมา ทุกวันนี้เราหาวัตถุมาตอบสนองเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็อาจมีความสุขตอนได้มันมาใหม่ แต่พอสักพักเราก็เบื่อมัน นั้่นเป็นเพราะภายในจิตใจเราไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ ฉะนั้นหากเพื่อนๆ ลองสละเวลาวันละครึ่งชั่ว หรือ ชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อทำกิจกรรมที่เราต้องการทำมันจริง หรือ ทำเพื่อความฝัน  หรือ เพื่อตอบสนองการเรียกร้องจากภายในตัวเรา ทำไปสักพักนึง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งความสุขเล็ก ๆ จะค่อยเพิ่มขึ้นในตัวท่าน แบบยั่งยืน และระหว่างที่ท่านได้ลองทำกิจกรรมหรือความฝันที่เรียกร้องจากภายในที่ละเล็กละน้อย สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ กิจวัตรประจำวันท่านจะค่อยๆ เปลี่ยนไปและนี่แหละท่านจะสัมผัสความสุขที่ยั่งยืนและมั่นคงอย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Road Map for Investor:: จุดอ่อนของ High Risk, High Return

Road Map for Investor:: จุดอ่อนของ High Risk, High Return: " เพื่อน ๆ คงจะได้ยินเสมอว่า High Risk , High Return เป็นสิ่งที่ติดปากมานานจนเราจำไม่ได้ว่าเราได้ยินมาจากไหนครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ทำให้เราบั..."

Road Map for Investor:: ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน

Road Map for Investor:: ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน: " หลาย ๆครั้ง เพื่อนๆ ถามผมมาก หุ้นกับทอง อะไรดีกว่ากัน ด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้แต่ตอบยากครับ ถ้าผมจะไล่ทฤษฏีการเงิน มันก็คงจะน่าเบื่อ ผมจะขอ..."

Road Map for Investor:: เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น

Road Map for Investor:: เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น: " หลาย ๆ ครั้ง เราชอบบอกว่าเราเป็นนักลงทุนแบบ VI (Value Investor) ฟังดูแล้วเท่ห์จัง แต่น้อยคนที่จะยึดมั่นในหลักการณ์แบบ VI แบบเต็มที่ แต่ก..."

Road Map for Investor:: "ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที

Road Map for Investor:: "ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที: " หลังจากห่างการเขียนไปหลายวัน วันนี้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน ผมจะมาอธิบายสิ่่งที่ผมทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ 'การขายหมู' ขายหมูคืออ..."

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"ขายหมู " ได้ยินบ่อยแต่ทำไมเจอทุกที

      หลังจากห่างการเขียนไปหลายวัน วันนี้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน ผมจะมาอธิบายสิ่่งที่ผมทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ "การขายหมู"  ขายหมูคืออาการที่หุ้นขึ้นแล้วขายทิ้้งเพื่อเอากำไร แล้วหุ้นยังขึ้นไปต่ออีกมาก ผมกล้าพูดได้เลยถ้าใครลงทุนในหุ้น ไม่เคยขายหมูสักครั้งผมว่าโกหกแน่ๆ  ผมเป็นคนนึงที่ลงทุนในหุ้นตลอดระยะเวลา 7 ปี ผมขายหมูไปหลายรอบมาก มากจนจำไม่ได้ว่าทำไปกี่ครั้ง กว่าจะรู้ว่าไอ้สิ่งที่ทำมันผิดก็ประมาณ 3-4 ปี ทำไมผมถึงไม่เรียนรู้ เพื่อนๆ อาจไม่ได้เป็นแบบผมก็ได้นะ แต่ผมจะบอกว่าทำไมผมถึงไม่เรียนรู้เรื่องนี้สักที เนื่องจากเวลาเราขายหุ้นแล้วได้กำไร เราก็จะเอาเงินไปซื้อตัวอื่นจนไม่ได้มาดูหุ้นตัวเดิมว่าเติบโตไปแล้วเท่าไหร่ นี่เป็นเหตุผลทำให้ผมไม่ได้เรียนรู้สักที เพราะคิดว่าสิ่งทีทำถูกแล้ว เพราะได้กำไรเหมือนกัน แต่ก็วิกฤตที่อเมริกาเมื่อปี 2008 นี่แหละทำให้ผมมีเวลาทบทวนการลงทุน ผมยึด ติดกับทฤษฏีมากไปหรืออาจตีความคำว่าถูกและแพงผิดพลาดไป  ทำให้คิดว่าหุ้นแพงแล้วต้องขาย แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า หุ้นจะถูกหรือแพงมันคืออนาคตไม่ใช่ตอนนี้ สมมติหุ้นวันนี้แพง แต่บริษัท Growth ตลอด คำถามคือ ปีหน้าหุ้นจะแพงไหม ตอบได้เลยว่าถูก เพราะ ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น เงินปันผลเพิ่มขึ้น สิ่งที่ผมจะบอกคือผมจะถือหุ้นตัวนี้ต่อเพราะปีหน้ามันจะถูกอีกแล้วราคาจะขึ้นอีก
       ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำนอกจากจะดูงบการเงินที่เป็นพื้นฐานบริษัทแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงคือ Net Cash Flow  ที่บริษัทจะสร้างขึ้นในอนาคตต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าหุ้นถูกหรือแพง ผมจึงอยากบอกเพื่อน ๆ ว่า งบการเงินดูเพื่อบอกพื้นฐานของบริษัทได้ แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว "สิ่งที่เป็นตัวชี้วัด คืออนาคตของบริษัทต่างหากที่สำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวบอกว่าหุ้นแพงหรือหุ้นถูก ควรถือหรือขายได้แล้ว "
       ผมหว้ังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ลงทุนในุหุ้นมีผลตอลแทนที่ดีขึ้น ไม่ต้องมานั่งผิดพลาดเหมือนที่ผมเคยเป็น ขอให้เพื่อน ๆโชคดีกับการลงทุนครับ

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เล่นหุ้นให้ชนะ ต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น

   หลาย ๆ ครั้ง  เราชอบบอกว่าเราเป็นนักลงทุนแบบ VI (Value Investor) ฟังดูแล้วเท่ห์จัง แต่น้อยคนที่จะยึดมั่นในหลักการณ์แบบ VI แบบเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไรถ้าหลาย ๆ คนพยายามที่จะประยุกต์ทฤษฏีให้เป็นของตัวเอง และก็ถือเป็นสิ่งที่ดีด้วย เพราะแค่ได้กำไร นั่นก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว
    แต่สิ่่่่่งที่ผมจะนำเสนอในครั้งนี้ไม่ได้มาพูดเกี่ยวกับการเลือกหุ้นแบบ Value Investor ผมจะพูดถึงเหตุการณ์หลังจากที่เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน คำถามที่ตามมาเสมอคือเมื่อไหร่ที่จะเข้าซื้อได้ ? และผมเชื่อพวกเราจะมีคำถามตามมาเต็มไปหมดเช่น ตอนนี้หุ้นแพงไปหรือยัง ซื้อเพิ่มได้หรือปล่าว อะไรประมาณนี้ ผมขอแนะนำหัวใจของ Timming ในการเข้าซื้อหุ้น และเป็นวิธีที่ผมใช้มาตลอด อาจจะดูยากสักหน่อย แต่ก็ควรจะสังเกตมันไว้ให้ดี เพราะเราจะตอบคำถามด้านบนได้ทั้งหมด นั่นคือคุณต้องดูภาพใหญ่ให้เป็น เพราะถ้าคุณอ่านภาพใหญ่ขาด ยากมาก ๆๆๆ ที่คุณจะเล่นหุ้นแล้วขาดทุน ( Assumptionคือคุณต้องเลือกหุ้นให้ดีก่อนนะ) ผมยกตัวอย่างสมมติ หุ้นวันนี้ 1000 จุด ถามผมว่าซื้อได้ไหม ถ้าภาพใหญ่อนาคต สัก 1-2 ปี ผมสามารถเห็น 1500 จุด ผมจะบอกให้คุณซื้อไปเลย ค่อยๆ ทะยอยซื้อก็ได้ แต่ถ้ากลับกัน ผมเห็นว่าอนาคตมันจะลงเหลือ  800  จุด ผมก็บอกคุณว่ามันแพงไปแล้ว ให้ขายทิ้ง แต่มันดูเหมือนง่ายที่จะอ่านขาดขนาดนั้น และผมก็ไม่ได้บอกว่ามันง่ายที่จะอ่านให้ขาด ต้องยอมรับว่ายากเลยแหละและเราควรต้องฝึกฝนไว้ แต่นี่แหละที่ผมบอกว่าเป็นทีเด็ด ที่ต้องอ่านภาพใหญ๋ให้ออก และคนอื่นก็ไม่เข้าใจว่าคุณซื้อหรือขายเพราะอะไร เพราะมันจะสวนทางคนส่วนใหญ่เสมอ เพราะอะไร คนส่วนใหญ่มองภาพเล็ก แต่คนส่วนน้อยมองภาพใหญ่  คุณก็รู้ว่าสองกลุ่มนี้ใครจะเล่นหุ้นแล้วชนะ 
     แต่ผมไม่ได้บอกนะว่าถ้าภาพใหญ่ขึ้น มันจะขึ้นรวดเดียว หุ้นมันจะขึ้น ๆลงๆ ลงเพื่อขึ้นต่อสับขาหลอกเราไปเรื่อย ๆ สักพักมันก็ถึง 1500 แต่ถามว่าระหว่างทางที่คุณเล่นหุ้นตามตลาดคุณก็จะมึนกับตลาด ที่ขึ้น ๆลงๆ ลง ๆ ขึ้น ๆ รู้อีกที ซื้อหุ้นไปโคตรแพง  ผมจะยกตัวอย่าง ชัด ๆว่าใครซื้อแบบภาพใหญ่ ลองสังเกตเวลาฝรั่งซื้อหุ้น คุณจะเห็นรูปแบบนึ่งคือ ทำไมชอบเห็นคนไทยขายแล้วฝรั่งก็ซื้อเอาซื้อเอา แล้วก็บอกว่าฝรั่งโง่ซื้อหุ้นแพง สุดท้ายผมถามคำเดียวเมื่อหุ้นคนไทยที่ขายหมดแล้่ว แล้วกลับมาซื้อใหม่ ถามว่าตอนซื้อกลับคนไทยกับฝรั่งใครซื้อถูกกว่ากัน เห็น ๆ ก้นอยู่ว่าใครจะชนะ นี่แหละที่ผมบอกว่าอยากชนะฝรั่งคุณต้องอ่านภาพใหญ่ขาด ถ้าเราดูภาพใหญ่ฝรั่งก็ดูภาพใหญ่คุณก็จะรบในสนามรบเดียวกัน มันแพ้เราแน่นอน เพราะนี่มันถิ่นเรานะนี่มันประเทศไทย เราจะยอมให้มันอ่านเศรษฐกิจไทยชัดกว่าเราได้ไง จริงปะ แต่ทุกวันนี้ที่เราแพ้ฝรั่งก็เพราะเรารบไม่เหมือนมัน  มันใช้เครื่องบิน เราใช้ทหารราบ ไม่บอกก็รู้สนามรบนี้ใครชนะ ฉนั้นอยากชนะการลงทุนในหุ้นคุณต้องมองภาพใหญ่ให้ขาด อ่านมันให้ออก คู่แข่งจะเป็นใครยังไงเราก็กินนิ่ม

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ทองคำ VS หุ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน

   หลาย ๆครั้ง เพื่อนๆ ถามผมมาก หุ้นกับทอง อะไรดีกว่ากัน ด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้แต่ตอบยากครับ ถ้าผมจะไล่ทฤษฏีการเงิน มันก็คงจะน่าเบื่อ ผมจะขอเล่าให้มัน simple ที่สุด และละเอียดที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกๆ คนครับ

    ผมขอเริ่มจาก commodity ยอด hit ก่อนเลยแล้วกันสิ่งนั้นคือ"ทองคำ"  ทอง เป็นสินทรัพย์ไว้กันสำรองของทุกประเทศ นั่นหมายความว่าทุกประเทศจะผลิตพันธบัตรได้ต้องนำทองมาเป็นสำรองก่อนพิมพ์พันธบัตร แต่มีประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องทำแบบนั้น นั่นก็คืออเมริกา

    อเมริกาไม่ต้องนำทองมากันสำรองเวลาพิมพ์พันธ์บัตรเพิ่ม  ดังนั้นอเมริกาสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด ยิ่งพิมพ์มากมูลค่าเงินของอเมริกา (US dollar ) ก็ลดมูลค่าลง ในเมื่อเป็นดังนี้ในปี 2008 ที่อเมริกาได้เกิด Subprime Mortgage Crisis และยักษ์ใหญ่อย่าง เลห์แมนบราเธอร์ได้ล้มลง และตามด้วยอีกหลายบริษัท ทำให้รัฐบาลต้องพิมพ์พันธบัตรเพื่ออัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าเงินอเมริกา อ่อนค่าลงอย่างมาก ผลกระทบเห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งจาก 35 baht/US dollar ปัจจุบัน 30 bath/US dollar ทำให้คนที่ใช้ dollar ต้องหาทางเพิ่ง commodity ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าทอง จะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ทองขึ้นเยอะมาก ที่ผมชี้ประเด็นนี้ผมจะบอกว่าจริง ๆ แล้วทอง เป็นสิ่งที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ฝรั่งเค้าจึงเรียกทองว่า safe heaven แต่ผมไม่ได้บอกว่าทองจะให้ผลตอบแทนมากที่สุดนะครับ

   ผมจะกลับไปตอบคำถามตอนต้นนะครับ "ว่าหุ้นกับทองอะไรน่าลงทุนกว่า" ผมขอตอบในมุมมองผมแล้วกัน ทองเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าเงินที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดเงินเฟ้อ (inflation) สูง ๆๆ มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วงปกติ และความเสี่ยงของทองไม่สูงเลยถ้าเทียบกับหุ้น ดังนั้นหมายความว่าหุ้นเสี่ยงสูงกว่าแน่นอน แต่ผลตอบแทนก็ดีกว่าและได้ปันผลระหว่างทาง (หลายคนคงถามคำถามในใจว่าดีกว่าอย่างไร อันนี้รายละเอียดยาวเลยครับ ไว้ว่าง ๆจะมาเล่าแล้วกันว่าดีกว่าอย่างไร แต่ผมจะบอกให้เล็กน้อยว่า ลองเอาข้อมูลมา run ซัก 10 ปี  หุ้นกับทอง นะครับ แล้วจะตอบคำถามได้ว่าดีกว่าอย่างไร

    คราวนี้เพื่อนๆ ก็ลองจัด port การลงทุนนะครับว่าช่วงไหนจะใช้เครื่องมืออะไร เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ให้ได้อย่างที่เราสบายใจ และนอนหลับนะครับ เพราะถ้าหากเราไม่สนุกกับการลงทุนถึงผลตอบแทนออกมาดีเพียงไร ผมว่าเราจะไม่สามารถอยู่กับมันได้นานแน่นอนครับ

    ปล.เครื่องมือการลงทุนแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียคนละแบบอีกทั้งความเสี่ยงก็ต่างกัน แต่สิ่งที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้คือความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง จะรบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้งครับ อิๆๆ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

" กาแฟ กับ ถ้วยกาแฟ ความต่างแต่อาจแยกไม่ออก "


   ถ้าเพื่อนเรามาที่บ้านแล้วให้เค้าชงกาแฟกันเอง ผมว่าทุกคนคงจะเลือกถ้วยกาแฟที่สวยเอามาใส่กาแฟเป็นแน่ หลายคนอาจจะบอกว่าไม่จริง แต่ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติมนุษย์เลยแหละที่ทุกคนต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจนลืมไปว่า จริง ๆแล้วเราต้องการกินกาแฟหรือกินถ้วยกาแฟกันแน่
   เปรียบเหมือนชีวิตพวกเรา ที่เราต่างใช้ชีวิตตามสังคมที่เร่งรีบ อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีเงินมากๆ อยากมีหน้ามีตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเปรียบก็เหมือนกับถ้วยกาแฟ เรากำลังหาสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี บอกว่าเจ๋ง มาใส่ตัวเรากันทั้งนั้น จริงๆแล้วเพื่อความพอใจของตัวเองหรือปล่าวผมไม่อาจตอบแทนได้  ซึ่งเมื่อเราโดนสังคมกลืนไปเราก็จะมองเห็นแต่ถ้วยกาแฟที่สวย แต่จริงๆ สิ่งที่จะทำให้มีรสชาติคือกาแฟไม่ใช่หรอครับ ผมว่ากาแฟคือสิ่งที่พวกเราควรค้นหานะ ไม่ใช่แก้ว มันทั้งมีรชชาติหอมกว่า อร่อยกว่า ถ้วยกาแฟเป็นไหน ๆ  
   ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเราจนเรามองข้ามไป เช่น ได้อยู่กับครอบครัวพ่อแม่  อยู่กับคนรัก มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้หรือปล่าวคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข :)




วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

จุดเริ่มต้นของการลงทุนในหุ้น

     ถ้าย้อนไปการลงทุนครั้งแรกของผมคือตอนสมัยเรียนหนังสือ ผมมีประสบการณ์จากการฟังคนโน่น คนนี้พูดเกี่ยวกับหุ้นในทางที่แย่ทุก ๆครั้ง ไม่ว่าจากประสบการณ์คนใกล้ตัวหรือคนอื่นๆ ที่ผมได้รู้จัก อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้เพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 (ลอยตัวค่าเงินบาท) ไม่มากก็น้อย จนผมมารู้ตัวอีกทีก็กลัวมันจริงๆ ไปแล้ว และพยายามหนีห่างเสมอมา แต่จะหนีอย่างไรในเมื่อดวงมันมันสมพงษ์ มันก็คงเลี่ยงไม่ได้ เรื่องม้นมีอยู่ว่าผมได้เข้าไปเรียนด้านการเงินที่มหาลัยแห่งหนึ่งและได้รู้จักเพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุนเยอะและที่นี่เอง ผมได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็เป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอมา เค้าพูดถึงหุ้นในมุมมองที่ผมไม่เคยได้ยินจากที่ไหน เค้าบอกหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมได้ยินมา ผมก็เลยถามเพื่อนว่าผลตอบแทนที่ดีนี่เท่าไหร่ละ เพื่อนคนนี้ก็ตอบว่าเค้าได้มากกว่า 100 % ใน 2 ปี เมื่อได้ยินดังนั้นถึงแม้ผมไม่มีเครื่องคิดเลขผมก็ตอบได้ทันทีว่าเป็นผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมเพราะผมรู้จักแค่การฝากเงิน ผมไม่คิดอะไรมากและก็ได้ถามเพื่อนไปว่าแล้วถ้าผมจะเล่นต้องทำอย่างไร เพื่อนคนนี้แทนที่จะตอบว่าก็แค่นำเงินลงพอร์ทแล้วก็ซื้อขาย แต่กลับบอกผมว่าให้ไปอ่านหนังสือหุ้นจนเข้าใจมันก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ซึ่งผมก็เป็นคนเชื่อคนง่ายหลังจากได้ยินจึงเริ่มทำตามคำแนะนำประกอบกับเป็นคนที่กลัวความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำความเข้าใจในหลายๆ ประเด็นให้เคลียร์ก่อน และหลังจากนั้นมาผมก็ได้ลงทุนในหุ้นมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  ก็ผ่านมาเกือบ 8 ปีแต่ผมก็ยังจำหุ้นตัวแรกในชีวิตของผมได้ไม่ลืมเพราะผมใช้เวลาคิดนานมากกว่าจะเลือกหุ้นได้สักตัวทั้ง ๆ ที่เงินลงทุนตอนนั้นน้อยนิดมาก ซึ่งผลงานก็ได้ไม่เลวเลยทีเดียวได้กำไร  40% หลังจากผ่านไป 6 เดือน

     ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆว่า หากคิดจะลงทุนในหุ้นแทนที่จะนำเงินมาลงทุน เปลี่ยนมาเป็นลงทุนในความรู้แทนก่อนดีกว่าไหม ซึ่งถ้าเราเข้าใจความเสี่ยง และรู้จักมันผมว่าโอกาสทำกำไรบนหุ้นมีให้เราเสมอ

     ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะผมมีเพื่อนที่เล่นหุ้นหลายคน กระโดดเข้ามาเจ็บตัวแล้วก็ออกไป แล้วก็เข้ามาใหม่แล้วก็ทำแบบเดิมอีก ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาเป็นแบบนั้น เชื่อผมเหอะในจำนวนผู้เล่นหุ้นทั้งหมด 10% เท่านั้นที่จะชนะ อีก 90% แพ้ ถ้าอยากเป็นคน 10% คุณต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้มันก่อน ไม่ใช่เริ่มจากเงิน ซึ่งถ้าเริ่มจากเงินแต่ไม่ศึกษาสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เงินตอนออกจากตลาดหุ้นแน่นอน แต่ถ้าเริ่มศึกษาอย่างจริงจังและกระโดดเข้าไปด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อคุณจะเป็น   10% ที่ชนะตลาดได้อย่างแน่นอน

(ปล. ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็ 8 ปี เลยรู้ว่าแก่เลย ฮาๆๆ ผมยังไม่เคยขอบคุณเพื่อนคนนี้อย่างเป็นทางการสักที ถ้าเพื่อนอ่านอยู่ผมอยากบอกขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำทั้งตอนเริ่มต้นและระหว่างทางที่ทำให้คนที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินอย่างผม ได้เริ่มต้นในสิ่งที่ถูกที่ถูกทางและผมอยากบอกว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้หลงรักการลงทุน แบบว่ามันส่วนหนึ่งของชีวิตของผมไปแล้ว)